 |
|
|
|
 |
ที่สำคัญของการเกิดมะเร็งตับ | |
 |
|
1. ไวรัสตับอักเสบ |
 |
|
ส่วนใหญ่ร้อยละ 75-80 ของผู้ป่วยมะเร็งตับเกิดในผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ โดยติดเชื้อ |
ไวรัสตับอักเสบบีร้อยละ 50-55 และติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ร้อยละ 25-30 โดยผู้ที่เป็นพาหะของ |
ไวรัสตับอักเสบบีมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับสูงมากกว่าคนที่ไม่เป็นพาหะ ถึง 100-400 เท่า |
 |
|
2. เป็นโรคตับแข็ง |
 |
|
3. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ |
|
มีการศึกษาพบว่าถ้าดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 41-80 |
|
กรัมต่อวัน จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ 1.5 เท่า และถ้า |
ดื่มมากกว่า 80 กรัมต่อวัน จะมีความเสี่ยงสูงขึ้นเป็น 7.3 เท่าเมื่อ |
เปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้อย |
กว่า 40 กรัมต่อวัน และความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับจะำไม่ลด |
ลง แม้ว่าจะหยุดดื่มแล้วก็ตาม |
 | |
 |
|
4. สารอัลฟลาท็อกซิน Aflatoxin |
|
ซึ่งเกิดจากเชื้อราบางชนิด พบในอาหารประเภทถั่ว ข้าวโพด พริกแห้ง เป็นต้น ผู้ที่ตรวจ |
พบว่ามีสารอัลฟลาท็อกซิน จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ 5.0-9.1 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ |
ที่ตรวจไม่พบสารดังกล่าวในร่างกาย |
 |
|
|
|
 |
|
กลุ่มเสี่ยงที่ควรได้รับการตรวจคัดกรองหาโรคมะเร็งตับ คือ |
 |
|
1. ผู้ป่วยโรคตับแข็งทั้งเพศหญิงและชาย ซึ่งมีอัตราการเกิดมะเร็งตับสูงถึง 1-4 %ต่อปี |
|
2. ผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบบี |
|
หรือผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีตั้งแต่แรกคลอดหรือวัยเด็ก และยังไม่มีโรคตับแข็ง |
แต่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับสูงในเพศชาย อายุมากกว่า 45 ปี และผู้หญิงอายุมากกว่้า 50 ปี |
หรือมีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งตับ | |
|
3. ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง รวมถึงผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาจนหายแล้ว |
 |
|
การตรวจคัดกรองหาโรคมะเร็งตับไม่แนะนำสำหรับประชากรทั่วไปเนื่องจากมีอัตรา |
การเกิดมะเร็งตับต่ำมาก เพียงประมาณ 0.0005 % ต่อปี เท่านั้น |
 |
|
 |
 |
|
วิธีการตรวจคัดกรองหาโรคมะเร็งตับ ทำได้โดย |
|
|
- ตรวจเลือดหาค่า Alfa-fetoprotein (AFP) |
|
- การทำอัลตร้าซาวน์ตับ |
|
 | |
ควรตรวจคัดกรองมะเร็งตับบ่อยเพียงใด |
 |
|
ควรตรวจทุก ๆ 6 เดือน |
 |
|
 |
 |
 |
|
แบ่งออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่ | |
1. การรักษาเพื่อหวังผลหายขาด ได้แก่ การรักษาด้วย |
การทำผ่าตัดหรือการเปลี่ยนตับใหม่ การรักษามะเร็งตับ |
ที่หวังผลหายขาด คือ การผ่าตัด แต่มีประมาณร้อยละ 20 |
ของผู้ป่วยเท่านั้นที่เหมาะสมต่อการผ่าตัดรักษา |
| |
|
การปลูกถ่ายตับ หรือการผ่าตัดเปลี่ยนตับใหม่สำหรับมะเร็งตับ |
|
เกณฑ์กำหนดผู้ป่วยที่เหมาะสมต่อการปลูกถ่ายตับ คือ |
|
1. ก้อนมะเร็งขนาดเล็กกว่า 5 เซ็นติเมตร |
|
2. จำนวนก้อนมะเร็งมีจำนวนไม่เกิน 3 ก้อน และแต่ละก้อนมีขนาดเล็กกว่า 3 เซ็นติเมตร และ |
ทั้งหมดอยู่ในกลีบตับข้างเดียวกัน |
|
3. ไม่มีการลุกลามไปยังเส้นเลือด |
|
4. ไม่มีการแพร่กระจายไปอวัยวะอื่น |
|
|
2. การรักษาแบบประคับประคอง |
|
เพื่อช่วยยืดชีวิตผู้ป่วยให้ยืนยาวออกไป ได้แก่ การสอดสายสวนเข้าไปในหลอดเลือดที่ |
หล่อเลี้ยงก้อนมะเร็งร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด หรือการฉีด ethanol หรือaceticacid เข้าไปที่ก้อน |
มะเร็ง รวมถึงวิธีการใช้ความร้อนทำลายก้อนมะเร็ง |
|
|
|
|
|
|
|
 |
|
|
 |
 |
|
- ปวดท้องที่ชายโครงขวา และอาจร้าวไปที่ไหล่หรือหลัง |
|
|
- ส่วนใหญ่จะมีอาการเบื่ออาหารและน้ำหนักลดร่วมด้วย |
|
- ตรวจร่างกายมักพบตับโต |
|
- อาการตัวเหลืองตาเหลืองซึ่งเกิดจากการอุดตันของท่อน้ำดี |
|
- มักมีอาการคันและอุจจาระสีซีด |
|
- มีอาการไข้และเจ็บชายโครงขวา ในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน |
เกิดขึ้น | |
|
|
 |
 |
|
ตรวจตับโดยใช้เครื่องอัลตราซาวด์ เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องตรวจด้วยคลื่น |
สนามแม่เหล็ก การตรวจโดยการส่องกล้องและฉีดสีดูท่อน้ำดี และเอาชิ้นเนื้อจากท่อน้ำดีมาตรวจ |
|
|
 |
|
การผ่าตัดที่หวังผลให้หายขาด โดยมีเป้าหมายคือการเอารอยโรคออกทั้งหมด |
ร่วมกับการแก้ไขภาวะทางเดินน้ำดีอุดตัน |
|
การใส่ท่อระบายน้ำดี ในผู้ป่วยที่โรคอยู่ในขั้นลุกลามควรได้รับการระบายน้ำดี |
|
การรักษามะเร็งท่อน้ำดีผ่านกล้องส่องตรวจท่อน้ำดีและตับอ่อน โดยการใส่ท่อระบายน้ำดี |
ีจะทำในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดเนื้องอกออกได้ หรือผู้ป่วยไม่สามารถรับการผ่าตัดได้ หรือผู้ป่วยปฏิเสธ |
การผ่าตัด เพื่อช่วยบรรเทาอาการคันและอาการตัวเหลือง การใช้ท่อโลหะจะมีการอุดตันช้ากว่าการใช้ |
ท่อพลาสติก โดยท่อพลาสติกจะอุดตันภายในเวลาประมาณ 3-4 เดือน ส่วนท่อโลหะจะอุดตันภายใน |
เวลาประมาณ 6-9 เดือน แต่จะใช้ชนิดใดนั้นแพทย์จะพิจารณาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยในแต่ละราย |
|
|
 |
 |
|
โดยการทำ อัลตร้าซาวน์ หรือ ทำ CT ทุก 3 เดือน |
|
|
 |
 |
|
1. ให้วัคซีนไวรัสตับอักเสบ ชนิดบีในเด็กแรกเกิดทุกคน |
|
 |
|
2. ป้องกันการติดพยาธิใบไม้ในตับ การไม่รับประทาน |
อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ รับประทานอาหารที่ปรุงสุกแล้ว และรักษา |
โรคพยาธิใบไม้ตับ |
 |
|
3. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง ได้แก่ อาหารที่มีรา |
ขึ้นชึ่งอาจจะลดความเสี่ยงลงได้ |
 |
|
4. หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจำนวนมากเป็นประจำและงดการสูบบุหรี่ |
 |
|
5. ผู้ป่วยที่มีโรคตับเรื้อรัง หรือมีประวัติเป็นโรคตับอักเสบ ควรได้รับการตรวจหา |
มะเร็งอย่างสม่ำเสมอเพื่อสามารถจะรักษาโรคได้ในระยะต้นที่ยังไม่แสดงอาการ | |
|
|